คอลลาเจนเปปไทด์ มีทั้งหมด 5 ชนิด อยากผิวสวยต้องกินชนิดไหน

หากพูดถึง คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) หลายคนคงจะนึกถึงอาหารผิวคอลลาเจน ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของผิวสุขภาพดี ผิวกระจ่างใส และผิวมีความนุ่มชุ่มชื้น แต่ความจริงแล้วคอลลาเจนไม่ได้ทำหน้าที่เป็นอาหารผิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ โดยปกติแล้วคอลลาเจนที่ถูกพบในร่างกาย มีด้วยกันถึง 5 ชนิด ซึ่งบทความในวันนี้ Glory จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ คอลลาเจนเปปไทด์ ทั้ง 5 ชนิดว่า แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ไปดูกัน

คอลลาเจนเปปไทด์ มีทั้งหมดกี่ประเภท และมีกี่ชนิด มาดูกัน!!

คอลลาเจน คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เหมือนกาวที่คอยยึดส่วนต่าง ๆ ในร่างกายเข้าด้วยกัน และเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง เส้นผม หลอดเลือด กล้ามเนื้อ รวมถึงเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย โดยคอลลาเจนมีหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่าง ๆ ช่วยให้ผิวมีความนุ่มชุ่มชื้น ผิวกระจ่างใสสุขภาพดี และอื่น ๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม ร่างกายคนเราสามารถผลิตคอลลาเจนขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ผิวเหี่ยวย่น หรือผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร เพราะฉะนั้น การเติมคอลลาเจนเสริมเข้าสู่ร่างกาย จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

โดยปกติแล้วคอลลาเจนที่ร่างกายได้รับตามธรรมชาติ เป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา พืช หรือผลิตภัณฑ์จากนม ย่อยสลายกลายเป็นเส้นใยโปรตีน หรือที่เรียกว่า “คอลลาเจน” นอกจากนี้ คอลลาเจนยังมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติ และหน้าที่แตกต่างกันออกไป โดยคอลลาเจนถูกแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

• คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide)

คอลลาเจนเปปไทด์ คือ การสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปของกรดอะมิโนสายสั้น โดยนำคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ประมาณ 3,000-5,000 ดาลตัน มาผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ หรือปฏิกิริยาที่มีน้ำเข้าไปสลายพันธะ ทำให้สารโมเลกุลใหญ่แตกตัวเป็นสารที่มีโมเลกุลเล็กลง ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ คอลลาเจนเปปไทด์ยังมีโปรตีนมากกว่า 90% ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด คือ ไกลซีน (Glycine) ไฮดรอกซีโพรลีน (Hydroxyproline) และโพรลีน (Proline) 

• คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide)

คอลลาเจนไตรเปปไทด์ คือ คอลลาเจนที่ถูกพัฒนาต่อจากคอลลาเจนเปปไทด์ เพื่อให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลงอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 ดาลตัน ทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดีมากขึ้น และสามารถนำไปใช้ได้ทันที โดยคอลลาเจนไตรเปปไทด์จะถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง เหลือแค่โมเลกุลของกรดอะมิโน 3 ตัวเรียงต่อกัน และร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไป 3 เท่า

• คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide)

คอลลาเจนไดเปปไทด์ คือ นวัตกรรมการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปแบบไดเปปไทด์ เป็นคอลลาเจนโมเลกุลขนาดเล็กเฉลี่ยเพียง 200 ดาลตัน เพราะ กรดอะมิโนมีโครงสร้างหลักเรียงตัวต่อกันเพียง 2 หน่วยเท่านั้น ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดี และเร็วที่สุด ส่งผลให้ร่างกายไดรับคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้คอลลาเจนไดเปปไทด์เป็นประเภทคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในร่างกายของเรามีคอลลาเจนอยู่ประมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างผิว กระดูกอ่อน และหลอดเลือด ซึ่งในปัจจุบันมีการค้นพบคอลลาเจนมากกว่า 18 ชนิด แต่คอลลาเจนที่พบได้มากที่สุด 5 ชนิด ได้แก่

• คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I)

เป็นชนิดที่ร่างกายพบมากที่สุดเป็น 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย มีคุณสมบัติในการสร้างกระดูก เอ็นยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง หลอดเลือด เป็นต้น ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อฉีกขาด ช่วยในเรื่องของการสมานแผล และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวกระชับไม่หย่อนคล้อย เพราะฉะนั้นการเพิ่มคอลลาเจนชนิดที่ 1 ช่วยให้จำนวนเซลล์ผิวมีการขยายตัว เกิดการสังเคราะห์เป็นเส้นใยอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับมากขึ้น

• คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II)

พบได้มากในกระดูกอ่อน และมีความยืดหยุ่นมากกว่าคอลลาเจนชนิดที่ 1 โดยจะทำหน้าที่แตกต่างจากคอลลาเจนชนิดที่ 1 อย่างชัดเจน คือ มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์เซลล์ใหม่เพิ่มมากขึ้น และช่วยในการสร้างกระดูกอ่อน ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวสะดวก และช่วยลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ

• คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III)

มักจะพบร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 โดยส่วนใหญ่สามารถพบได้ในผิว ผนังหลอดเลือด กล้ามเนื้อ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเพิ่มคอลลาเจนชนิดที่ 3 ร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 พบว่าจำนวนเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อมีปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ผิวยกกระชับเต่งตึง

• คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Collagen Type IV)

เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว สามารถพบได้บริเวณเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อ และไขมัน ซึ่งเส้นใยฝอยของเยื่อบุผิวแผ่นบาง ๆ บริเวณนอกเซลล์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาท และเส้นเลือด ทั้งยังมีส่วนช่วยในการรักษาความสมบูรณ์ของผนังหลอดเลือดในข้อต่อ

• คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Collagen Type V)

เป็นองค์ประกอบของเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ สามารถพบได้ในบริเวณเดียวกันกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 มักจะพบในผิวของเซลล์ เส้นผม เนื้อเยื่อของทารกระหว่างตั้งครรภ์ และรก มีหน้าที่ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเส้นใยภายในชั้นผิว และช่วยจัดระเบียบเซลล์ผิวให้เป็นระเบียบ

อยากมีผิวกระจ่างใส สุขภาพดี ต้องกินคอลลาเจนชนิดไหน?

หากคุณต้องการเน้นไปที่การดูแลผิวโดยเฉพาะ ไม่ได้เน้นในส่วนของข้อ หรือกระดูก Glory ขอแนะนำให้เลือกทานคอลลาเจนไดเปปไทด์ เนื่องจากเป็นคอลลาเจนที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุดเพียง 200 ดาลตัน ช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดี และมีประสิทธิภาพ จึงเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าคอลลาเจนเปปไทด์ และคอลลาเจนไตรเปปไทด์

นอกจากการเลือกประเภทของคอลลาเจนแล้ว การเลือกชนิดของคอลลาเจนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากคุณต้องการเน้นผลลัพธ์เรื่องผิว แต่ไปทานคอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) อาจไม่เห็นผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ เพราะคอลลาเจนชนิดที่ 2 มีส่วนช่วยในเรื่องของกระดูก และข้อต่อมากกว่าเรื่องผิว ซึ่งเราขอแนะนำให้เลือกทานคอลลาเจนที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนชนิดที่ 1 เพราะจะช่วยบำรุง ฟื้นฟู และดูแลเรื่องผิวพรรณโดยตรง

แต่ถ้าต้องการให้ผิวมีความกระชับมากขึ้น เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น การเลือกทานคอลลาเจนชนิดที่ 3 ถือว่าตอบโจทย์ เพราะคอลลาเจนชนิดที่ 3 มีส่วนช่วยทำให้จำนวนเซลล์ไฟโบรบลาสต์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่ง Glory Collagen Di-peptide เป็นไดเปปไทด์คอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไปถึง 166 เท่า ที่สำคัญคอลลาเจน กลอรี่ เป็นคอลลาเจนเพียว 100% ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี สามารถทานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

สุดท้ายนี้หวังว่าหลายคนจะเข้าใจเกี่ยวกับคอลลาเจนชนิดต่าง ๆ มากขึ้น และเลือกคอลลาเจนที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ถูกต้อง สำหรับใครที่ต้องการสอบถาม หรือปรึกษาปัญหาผิวเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ที่

Line: @GloryofficialTH

Shopee: Glory Official TH

Lazada: Glory